ปตท.คาดว่าโรงกลั่นสตาร์จะเข้าตลาดได้ทันภายในปีนี้

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โรงกลั่นน้ำมันสตาร์อยู่ในระหว่างดำเนินการเพื่อที่จะหุ้นเข้ากระจายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยคาดว่าจะใช้เวลาในการดำเนินการตามกระบวนการกระจายหุ้นเข้าในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประมาณ 6-9 เดือน โดยหากไม่มีปัญหาอะไรก็คาดว่าจะสามารถนำหุ้นเข้าจดทะเบียนได้ทันภายในปีนี้
โดยตามแผนโรงกลั่นสตาร์จะมีการนำหุ้นออกขายประมาณร้อยละ 30 โดยไม่มีการขายหุ้นเพิ่มทุน ดังนั้น เมื่อนำหุ้นเข้ากระจายแล้ว สัดส่วนการถือหุ้นของ บริษัท เชฟรอน ก็จะลดสัดส่วนหุ้นจากร้อยละ 64 เหลือ ร้อยละ 45 และ ปตท.จะลดสัดส่วนหุ้นจากร้อยละ 36 เหลือ ร้อยละ 25
นายปรัชญา ภิญญาวัธน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน กล่าวว่า การขายหุ้นของโรงกลั่นสตาร์อยู่ระหว่างการจัดทำแผนธุรกิจในอนาคต ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ โดยตัวโรงกลั่นสตาร์มีจุดเด่นคือ การที่โรงกลี่นสามารถผลิตแก๊สโซลีนได้จำนวนมาก ซึ่งในปัจจุบันมาร์จิ้นของแก๊สโซลีนดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า และแก๊สโซลีนสามารถนำไปผลิตเป็นวัตถุดิบของปิโตรเคมี เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้ ประกอบกับการเป็นคอมเพล็กซ์รีไฟนเนอรี่ ทำให้มีต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำ และมีผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับ ปัจจุบันมีความร่วมมือการวัถุดิบ ผลิตภัณฑ์ร่วมกับโรงกลั่นอื่น รวมทั้งมีการบริหารจัดการร่วมกับโรงกลั่นอื่น ทำให้สามารถลดต้นทุนได้เพิ่มขึ้น จึงเป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพ เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันด้วยกัน จึงมีความน่าสนใจในตัวบริษัท
ปัจจุบันโรงกลั่นน้ำมันสตาร์มีกำลังการผลิตประมาณ 1.5 แสนบาร์เรลต่อวัน ปัจจุบันมีการเดินเต็มกำลังการผลิต
ทั้งนี้ ในอนาคตโรงกลั่นสตาร์จะต้องมีการลงทุนในการผลิตน้ำมันตามาตรฐานยุโรประดับ 4 หรือ ยูโร 4 ซึ่งต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 1 ม.ค.2555 โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 300-400 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะใช้เวลาในการดำเนินการประมาณ 2 ปี และจะทันตามกำหนดอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามก่อนที่จะนำโรงกลั่นสตาร์เข้ากระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีขั้นตอนการดำเนินงานมาก และจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดต่างๆ ระหว่างผู้ถือหุ้นให้มีความเหมาะสม จึงต้องใช้เวลาในการดำเนินการ
สำหรับสัดส่วนหุ้นภายหลังการนำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ปตท.จะถือหุ้นร้อยละ 25 และไม่มีนโยบายที่จะลดการถือหุ้นในส่วนนี้ หรือขายหุ้นออกไปอีก
สำหรับความคืบหน้าในการควบรวมกิจการบริษัทในเครือ ปตท. คาดว่าผลการศึกษาจะแล้วเสร็จในเดือนพ.ค.นี้ และคาดว่าจะสามารถควบรวมได้เสร็จสิ้นภายในปีนี้ โดยการศึกษาได้แบ่งการควบรวมออกเป็นเฟสๆ ไป โดยในเฟสแรกอาจจะมีการควบรวมบางบริษัทก่อน หลังจากนั้นจะมีการควบรวมบริษัทอื่นในภายหลัง โดยการควบรวมจะต้องทำให้เกิดประโยชน์กับผู้ถือหุ้นมากที่สุด
สำหรับกรณีมาบตาพุดที่อาจจะกระทบต่อการควบรวมบริษัทในเครือ ปตท. ขณะนี้การแก้ไขมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งในการศึกษาได้มีการประเมินผลกระทบที่จะเกิดจากกรณีนี้แล้ว ส่วนคดีความของ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) นั้น ก็ได้มีการศึกษาในเรื่องผลกระทบและได้เตรียมวิธีในการแก้ไขอยู่แล้ว จึงไม่น่าเป็นห่วง