โรงไฟฟ้าประเทศไทย..ไปทางไหนดี

โรงไฟฟ้าประเทศไทย..ไปทางไหนดี

หลังจากที่มีกระแสการต่อต้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศไทยอย่างแพร่หลาย นอกเหนือจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงประเภทอื่น ๆ เช่น ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ไม่เว้นแม้แต่โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนต่าง ๆ ก็พลอยโดนหางเลขไปด้วย ทำให้เกิดความวิตกกังวลว่า ในอนาคตอาจเกิดปัญหาไฟตกไฟดับ หรือปริมาณไฟฟ้าไม่พอใช้อาจต้องมีการดับไฟในบางช่วงเวลาเหมือนกับที่ประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะในช่วงปี 2557 ที่ปริมาณไฟฟ้าจะลดต่ำลงเหลือเพียง 9% จากปัจจุบันที่มีปริมาณสำรองประมาณ 20% แต่หากโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ.สามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้า และผลิตไฟฟ้าเข้าระบบได้ทันก็จะทำให้ปริมาณสำรองไฟฟ้าจะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 15% ซึ่งสวนทางกับความต้องการใช้ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ที่เริ่มฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยจะเห็นได้จากความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด หรือพีค ในปีนี้ ที่สูงถึง 23,900 เมกกะวัตต์ จากกำลังการผลิตทั้งประเทศประมาณ 31,446 เมกกะวัตต์

แต่ปัญหาอยู่ ณ ขณะนี้ที่ยังไม่สามารถก่อสร้างได้เพราะยังมีการต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง โดยหลายๆ ภาคส่วนอยากให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมาเป็นเชื้อเพลิงในการก่อสร้าง เพราะเห็นว่ามีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ในปริมาณที่น้อยกว่า แต่รู้หรือไม่ว่าขณะนี้ประเทศไทยเราใช้ก๊าซฯ เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าสัดส่วนสูงถึง 70% ของกำลังการผลิตทั้งประเทศ ซึ่งถือเป็นประเทศแรกเลยก็ว่าได้ที่ใช้ก๊าซฯ เป็นเชื้อเพลิงในสัดส่วนที่สูงขนาดนี้ ทำให้มีความเสี่ยงสูงมากเพราะราคาก๊าซฯ มีความผันผวนสูงขึ้นลงตามราคาน้ำมัน ประกอบกับมีการประเมินว่าแหล่งก๊าซฯ ในอ่าวไทยจะใช้ได้อีกเพียง 15-20 ปีเท่านั้น แต่ถ้าเศรษฐกิจโตเร็วขึ้นความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้น ก็เป็นไปได้ที่ที่จะหมดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้

แม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง ประเทศฝรั่งเศส เยอรมัน เดนมาร์ก อเมริกา จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ยังไม่ถึงเลย ในขณะเดียวกันประเทศพัฒนาแล้วอย่างนั้นกลับใช้เชื้อเพลิงที่บ้านเราต่อต้านนักหนา อย่างนิวเคลียร์ในประเทศฝรั่งเศสที่มีการใช้สัดส่วนสูงถึง 76% ในประเทศเกาหลี 34% ขณะที่ประเทศจีน ก็มีการใช้เชื้อเพลิงจากถ่านหินสูงถึง 79% สหรัฐอเมริกา 49% ส่วนการใช้ก๊าซฯ เป็นเชื้อเพลิงของประเทศที่พัฒนาแล้วนั้นอยู่ที่ระดับ 14–26% เท่านั้น

สำหรับพลังงานหมุนเวียนประเทศพัฒนาแล้วต่างๆ เหล่านี้จะมีการกระจายการใช้อย่างเหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ มีสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเพื่อเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้เสริมเท่านั้น มิใช่ตัวหลักอย่างบ้านเรา ที่มุ่งแต่จะใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง ที่มีต้นทุนค่าก่อสร้างและค่าไฟฟ้าที่สูงลิบลิ่ว ถึงขนาดมีการตั้งเป้าหมายให้มีสัดส่วนสูงถึง 20% หรือประมาณ 5,604 เมกกะวัตต์ ในปี 2565 หรือแม้แต่การที่จะต้องไปยืมจมูกคนอื่นหายใจ อย่างการไปซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีสัดส่วนสูงถึง 25% โดยเฉพาะประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งหากวันใดที่แหล่งผลิตมีปัญหาอาจเห็นประเทศไทยไฟตกดับก็เป็นได้

ซึ่งทางนายธวัช วัจนะพรสิทธิ์ รองผู้ว่าการกิจการสังคมและสิ่งแวดล้อม กฟผ. ก็ยอมรับว่ามีความกังวลไม่ใช่น้อย จากการที่ไทยไม่สามารถสร้างโรงไฟฟ้าขึ้นใหม่ได้ ทำให้การตัดสินใจที่จะสร้างโรงไฟฟ้าแต่ละแห่งต้องมีการพิจารณาให้รอบคอบโดยมีหลักในการคัดเลือก 3 ปัจจัย คือ ราคา ความมั่นคงทางพลังงาน และสิ่งแวดล้อม ซึ่งตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าในอนาคต หรือ พีดีพี 2010 ได้กำหนดไว้ว่า กฟผ. จะต้องสร้างโรงไฟฟ้าหลายประเภท ทั้งโรงไฟฟ้าถ่านหิน ก๊าซฯ นิวเคลียร์ และพลังงานทดแทน

นายธวัช ให้ความเห็นว่า เชื้อเพลิงที่เหมาะสม และน่าสนใจที่สุดในตอนนี้ คงหนีไม่พ้นถ่านหินสะอาด เพราะมีจำนวนมาก และต้นทุนราคาไม่แพงมากนัก ประกอบกับปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีการสร้าง การดูแลที่ทันสมัยมากขึ้น ทำให้ลดการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดซ์ออกไซด์ลงได้

แต่หากจะใช้โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมาเป็นตัวหลักเหมือนที่หลายฝ่าย ๆ เสนอนั้น อาจทำได้ แต่ราคาไฟฟ้าจะค่อนข้างแพง เพราะมีต้นทุนราคาก่อสร้างสูง และยังต้องมีการสร้างโรงไฟฟ้าสำรอง หรือแบ็คอัพเพื่อสำรอง ทำให้เหมือนจะต้องมีโรงไฟฟ้าถึง 2 โรง ส่วนจะใช้โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานลม ประเทศไทยเราก็ใช่ว่าจะมีแสงอาทิตย์ หรือลมตลอด 24 ชั่วโมง แต่มีเพียงบางช่วงหรือบางวันเท่านั้นแล้วหลังจากช่วงเวลานั้นจะใช้ไฟจากไหน หรืออาจเสนอให้นำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว หรือแอลเอ็นจีจากต่างประเทศ นานวันเข้าราคาก็เริ่มสูงขึ้น ปริมาณก็ลดน้อยลง แต่มีอีก 1 เชื้อเพลิงที่ต้นทุนถูกไม่แพ้ถ่านหิน แถมยังไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่คงเป็นการยากถ้าจะเกิดในประเทศไทย อย่างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เพราะยังได้รับการต่อต้านถึงแม้ว่าการศึกษายังไม่เสร็จก็ตาม

แต่เมื่อพูดถึงโรงไฟฟ้าในภูมิภาคนี้แล้ว อีกประเทศหนึ่งที่มีการพัฒนาโรงไฟฟ้าในทุกรูปแบบ คงหนีไม่พ้นประเทศเกาหลีที่มีทั้งโรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ โรงไฟฟ้าพลังงานลม และโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ โดยมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สูงถึง 34% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ มีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์รวม 21 เตา หรือประมาณ 19,000 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าถ่านหิน 43% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศทั้งหมด 79,000-80,000 เมกะวัตต์ ที่เหลือก็จะมาจากโรงไฟฟ้าประเภทอื่นๆ แต่ที่น่ายกย่อง คือ ประชาชนชาวเกาหลีต่างยอมรับการก่อสร้างโรงไฟฟ้า หากถ้าถูกกำหนดขึ้นเป็นกฎหมายแล้วก็จะต้องปฏิบัติตาม ขณะที่ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าเองก็มีงบประมาณในการดูแลประชาชนในท้องถิ่นนั้นๆ อย่างเต็มที่จนเป็นที่พึงพอใจทั้ง 2 ฝ่าย จนกลายเป็นว่าหากจะมีคนสร้างโรงไฟฟ้า ชาวบ้านแต่ละพื้นที่ต้องเสนอตัวเพื่อให้โรงไฟฟ้าเข้าไปตั้งอยู่ในหมู่บ้านของตน เพราะโรงไฟฟ้าจะเข้ามาพร้อมกับความเจริญ ส่วนเรื่องการปล่อยมลพิษ โรงไฟฟ้าก็มีการควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดไม่ให้ออกมาสร้างความเดือดร้อนให้ใคร

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ทาง กฟผ.ได้พาคณะสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมโรงไฟฟ้าที่ประเทศเกาหลี โดยมีโรงไฟฟ้าที่น่าสนใจ คือ โรงไฟฟ้าถ่านหิน Yeongheung Thermal Power Site ของบริษัท Korea South-East Power ในเครือ บริษัท Korea Electric Power Corporation หรือ KEPCO ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากถ่านหินบิทูบินัสที่มีกำลังการผลิตถึง 3,340 เมกะวัตต์ และมีการควบคุมดูแลผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมไม่ให้เกินเกณฑ์มาตรฐาน โดยมีเครื่องตรวจจับแต่ละชนิดเพื่อรายงานค่าไม่ให้เกินมาตรฐาน แต่หากเกินมาตรฐานก็จะส่งสัญญาณมาที่ห้องคุมทันที นอกจากนี้แล้วข้อมูลทั้งหมดที่เกิดขึ้นยังส่งตรงไปยังรัฐบาลที่ดูแลด้านมลพิษ โดยหากปล่อยให้มลพิษเกินค่ามาตรฐาน 3 ครั้งภายใน 1 วัน หน่วยผลิตไฟฟ้านั้นจะต้องถูกสั่งให้หยุดการผลิตเพื่อทำการตรวจสอบทันที ซึ่งถือว่าเป็นการให้ความสนใจในการปล่อยการมลพิษตั้งแต่ตัวองค์กรเองไปจนถึงหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ Kori Nuclear Power Site ของบริษัท Korea Hydro & Nuclear Power ซึ่งถือเป็นโรงไฟฟ้านิวเคีลยร์ขนาดใหญ่ของเกาหลี มีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ผลิตไฟฟ้าอยู่ 6 เตา รวมกำลังการผลิต 5,137 เมกะวัตต์ และเตรียมที่จะเพิ่มเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์รุ่นใหม่ที่เป็นเทคโนโลยีของเกาหลีใต้เองอีก 2 เตา กำลังการผลิต 2,800 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์โคริมีกำลังการผลิตรวมเกือบ 8,000 เมกะวัตต์ ใน 7-8 ปีข้างหน้า แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ นายปีเตอร์ (ซังนัม) นา ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายพัฒนาโครงการ บริษัท Korea Electric Power Corporation ก็ระบุว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะทำให้ประชาชนยอมรับ แต่ทางรัฐบาลเกาหลีต้องแสดงความจริงใจ และชี้แจงว่าโครงการดังกล่าวมีประโยชน์อย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาการขาดแคลนพลังงาน เชื้อเพลิง ต่างๆ และถ้าหากยอกให้สร้างดรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะมีข้อดี คือ ค่าไฟฟ้าที่มีราคาถูก และไม่มีการปรับขึ้นราคาในเวลา 20 ปี ส่วนชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ก็จะได้ค่าไฟฟ้าที่ถูกกว่าประชาชนทั่วไป ซึ่งถือว่าเป็นข้อดี นี่ยังไม่รวมถึงความเจริญที่เข้ามาในหมู่บ้าน ส่วนเรื่องการปล่อยมลพิษก็ต้องมีการยืนยันอย่างหนักแน่นว่าจะดูแลให้อยู่ในมาตรฐานที่กำหนดไว้

ไม่ใช่แค่นั้นที่ประเทศเกาหลีให้ความสำคัญ แต่พลังงานหมุนเวียน อย่างพลังน้ำทางเกาหลีก็ให้ความสนใจไม่แพ้กัน โดยมี 1 โรงที่น่าสนใจ คือ โรงไฟฟ้าพลังน้ำขึ้น-น้ำลง Sihwa Tidal Power Plant ของบริษัท Korea Water Resources Corporation หรือ K-Water เป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ประโยชน์จากน้ำทะเล มากักเก็บเป็นทะเลสาบ โดยมีความยาวแนวเขื่อนที่กั้นระหว่างทะเลและทะเลสาบรวมทั้งสิ้น 12.7 กิโลเมตร มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 552 ล้านหน่วยต่อปี หรือประมาณ 254 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนประมาณ 500,000 ล้านวอน

โดยโรงไฟฟ้าแห่งนี้จะใช้ความต่างระดับของน้ำขึ้น-น้ำลงซึ่งต่างกันประมาณ 4-5 เมตร เมื่อน้ำขึ้นน้ำจากทะเลก็จะไหลเข้าไปในทะเลสาบที่สร้างขึ้นและเก็บกักน้ำเอาไว้ เมื่อระดับน้ำในทะเลลดลงก็จะเปิดประตูระบายน้ำเพื่อให้น้ำไหลผ่านกังหันน้ำ (turbine) จำนวน 10 ตัว เพื่อปั่นกระแสไฟฟ้า เฉลี่ยต่อวันได้ประมาณ 44.5 ชั่วโมงต่อวัน เนื่องจากเวลาน้ำขึ้น-น้ำลงมี 2 ช่วงเวลาใน 1 วันเท่านั้น โดยโครงการนี้มีเป้าหมายจะลดการใช้น้ำมันลงถึง 862,000 บาร์เรลต่อปี ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 350,000 ตันต่อปี ลดซัลเฟอร์ออกไซด์ (SOx) ได้ 589 ตันต่อปี และไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) 400 ตันต่อปี และจำหน่ายคาร์บอนเครดิตเฉลี่ย 100-120 วอนต่อกิโลวัตต์ โดยไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและไม่มีน้ำเสียปล่อยทิ้งทะเลด้วย

นอกจากนี้รัฐบาลเกาหลีมีแผนการก่อสร้างเพิ่มเติมอีกในอนาคตอีก 4 แห่ง เพื่อลดการพึ่งพาการใช้เชื้อเพลิงจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยโรงไฟฟ้าประเภทนี้ คุณธวัช แอบกระซิบบอกว่า เหมือนโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำตะคองของบ้านเรา แต่จะต่างกันตรงที่ของเกาหลีเป็นน้ำทะเล ของไทยเป็นน้ำจืด

ก็จะเห็นแล้วว่าในประเทศที่เข้าพัฒนาแล้ว จะต้องมีการกระจายการใช้เชื้อเพลิงให้สมดุลกัน ไม่พึ่งพาชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป เพราะอาจเกิดความเสี่ยงต่อการผลิตไฟฟ้าของประเทศได้ โดยเฉพาะในบ้านที่มีความต้องการใช้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่หากจะใช้อย่างเดียวและไม่มีการสร้างขึ้นใหม่เลย เห็นทีลูกหลานเราอาจจะต้องเจอปัญหาไฟดับในบางพื้นที่หรือบางเวลา หรือขั้นเลวร้ายสุดอาจต้องมีการจุดเทียนก็เป็นได้ เห็นทีรัฐบาลและประชาชนในบ้านเราต้องตัดสินใจแล้วว่าจะให้อนาคตด้านไฟฟ้าของบ้านเราเป็นแบบไหน