PTTGC ลุยอินโดฯ ครั้งแรกร่วมกับเปอร์ตามิน่า

เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC และบริษัท พีที เปอร์ตามิน่า บริษัทน้ำมันแห่งชาติอินโดนีเซีย ได้ลงนามความร่วมมือ หรือ HOA เพื่อร่วมกันกำหนดกรอบความร่วมมือ แนวทางในการศึกษารายละเอียดการลงทุน การจัดทำแผนธุรกิจ จนถึงการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดำเนินการก่อสร้างโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในประเทศอินโดนีเซีย

คุณอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการลงทุนนี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศอินโดนีเซีย และภูมิภาคอาเซียน การขยายความร่วมมือระหว่าง พีทีที โกลบอล เคมิคอล และ พีที เปอร์ตามิน่า จะสร้างปรากฏการณ์การพัฒนาอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี และธุรกิจต่อเนื่องในระดับภูมิภาคให้ก้าวไกลและเข้มแข็งยิ่งขึ้น การร่วมลงทุนในโครงการนี้ ยังสอดคล้องกับแผนการเติบโตของบริษัทฯ ทั้งในด้านการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจปิโตรเคมีของ พีทีที โกลบอล เคมิคอล และการขยายฐานการผลิตและการตลาดในภูมิภาคเอเชียและอาเซียน อีกทั้งเพิ่มโอกาสความเป็นไปได้ที่จะขยายขอบเขตความร่วมมือในธุรกิจด้านอื่นๆ ระหว่าง กลุ่ม ปตท. และ เปอร์ตามิน่า ในอนาคต

พีทีที โกลบอล เคมิคอล และ พีที เปอร์ตามิน่า จะร่วมกันจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อดำเนินโครงการสร้างปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ โดย พีที เปอร์ตามิน่า จะถือหุ้นร้อยละ 51 และ พีทีที โกลบอล เคมิคอล ถือหุ้นร้อยละ 49 โดยคาดว่าในปลายปีนี้จะเซ็นสัญญาการร่วมทุนได้ และคาดว่าโครงการนี้จะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2560

“การลงทุนครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ พีทีที โกลบอล เคมิคอล ไปลงทุนสร้างฐานการผลิตในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งหากโครงการลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในอินโดนีเซีย สามารถเกิดขึ้นได้ตามแผน ก็จะทำให้ พีทีที โกลบอล เคมิคอล และเปอร์ตามิน่า สามารถที่จะขยายธุรกิจ และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ได้มากขึ้นในภูมภาคนี้” นายอนนต์ กล่าว

ทางด้านนางคาเรน อากัสเทียวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีที เปอร์ตามิน่า เปิดเผยว่า โครงการก่อสร้างปิโตรเคมิคอลคอมเพล็กซ์นี้ ประกอบด้วยโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่จะมี โรงงานโอเลฟินส์ขนาดกำลังการผลิต 1 ล้านตันต่อปี รวมถึงโรงงานโพลิเมอร์ปลายน้ำ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดอินโดนีเซียซึ่งมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุน 4-5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 120,000–150,000 ล้านบาท

นอกจากความร่วมมือกับ พีทีที โกลบอล เคมิคอล แล้ว เปอร์ตามิน่า ยังมีการพูดคุยกับบริษัทอื่นๆ ในเครือ ปตท. คือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งก่อนหน้านี้มีการลงนามความตกลงเบื้องต้นที่จะศึกษาการจัดตั้งโรงกลั่นน้ำมันแห่งใหม่ในอินโดนีเซีย เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และยังได้หารือกับ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เพื่อหาโอกาสร่วมกันในการขยายธุรกิจด้านปิโตรเลียมขั้นต้น หรือการลงทุนในแหล่งปิโตรเลียมในอินโดนีเซีย ซึ่งในแผน 5 ปีของเปอร์ตามิน่า ได้วางแผนที่จะลงทุนทางด้านนี้เป็นสัดส่วนเงินลงทุนถึงร้อยละ 60 ของเงินลงทุนทั้งหมด เพื่อที่จะขยายธุรกิจด้านนี้ให้เพิ่มเป็นสองเท่าตัวจากปัจจุบัน

คุณอนนต์ กล่าวด้วยว่า การขยายการลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย เป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายของ พีทีที โกลบอล เคมิคอล ที่จะสร้างฐานการผลิตปิโตรเคมี นอกเหนือจากประเทศมาเลเซีย และจีน ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่การเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี และเป็นโอกาสที่จะสร้างไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตปิโตรเคมีในภูมิภาคนี้