น้ำมันรั่วบทเรียนราคาแพง

จากเหตุการณ์ท่อรับน้ำมันดิบกลางทะเลขนาด 16 นิ้ว ของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC รั่วที่บริเวณทุ่นรับน้ำมันดิบ ทำให้คาดว่ามีน้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเลประมาณ 50,000 ลิตร และมีบางส่วนได้ไหลไปที่บริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยา ต่อภาคการท่องเที่ยว รวมถึงส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนทั่วไป ซึ่งคงไม่มีใครอยากให้เกิดเหตการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว PTTGC ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ รีบดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการเก็บคราบน้ำมันบริเวณชายหาด ซึ่งถือว่ามีความยากลำบากพอสมควร เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงมรสุมมีคลื่นลมแรง

การดำเนินการแก้ไขดังกล่าว PTTGC ได้รับความร่วมมือจากกองทัพเรือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พนักงานจิตอาสา ของหลายๆ บริษัท ที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจในการที่จะช่วยทำให้อ่าวพร้าว เกาะเสม็ด และท้องทะเลในจังหวัดระยอง กลับมาขาวสะอาดเหมือนเดิม เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้คืนกลับมา ในขณะเดียวกันก็ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ทันที รวมถึงให้หน่วยงานต่างๆ มีการลงพื้นที่ เพื่อเก็บตัวอย่างพืชพันธุ์ สัตว์ทะเลต่างๆ เพื่อนำไปตรวจสอบว่าได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด พร้อมกับคำยืนยันของผู้บริหารในเครือ ปตท. ว่าจะดูแลระบบนิเวศวิทยาทางทะเลอย่างต่อเนื่อง

นับตั้งแต่วันที่น้ำมันรั่ว กระบวนการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้มีการดำเนินการอย่างรวดเร็ว แต่กระบวนการต่อจากนี้ ตั้งแต่การหาต้นเหตุที่เกิดขึ้น ซึ่งมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบแล้ว การจัดทำแผนดูแล และป้องกันปัญหานี้ในระยะยาว โดยตั้งเป้าว่า กลุ่ม ปตท. จะต้องไม่ให้เกิดอุบัติเหตุในทำนองนี้อีก รวมทั้งการจัดทำแผนการบริหารจัดการในกรณีฉุกเฉินของทั้งกลุ่ม ปตท. เพื่อให้แผนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว รัฐบาลได้สั่งการให้กลุ่ม ปตท. จัดสัมมนา หรือจัดงานที่เกาะเสม็ด เพื่อสร้างรายได้ที่ขาดหายไปให้กับคนในท้องถิ่นด้วย

เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนราคาแพงของกลุ่ม ปตท. ที่จะต้องมีการวางแผนจัดการ และการดำเนินการต่างๆ ให้มีความรัดกุม รอบคอบมากขึ้น ดั้งนั้น การทำธุรกิจในอนาคตของกลุ่ม ปตท. คงต้องให้ความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัย และการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม ให้มากขึ้น และที่สำคัญการสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาพลักษณ์ของกลุ่ม ปตท. ที่อาจจะต้องใช้เวลาอีกนาน