รัฐเล็งอุ้ม LPG ภาคครัวเรือนต่อหลัง ก.พ.ปีหน้า
นายกรัฐมนตรี เล็งตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนต่อ หลังครบอายุเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า และให้ลอยตัวในส่วนของภาคอุตสาหกรรม ส่วนราคาสินค้าสั่งกระทรวงพาณิชย์ดูแลแก้ปัญหาราคาแพง อย่างใกล้ชิด
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ว่า รัฐบาลจะพิจารณามาตรการการช่วยเหลือประชาชนในเรื่องค่าครองชีพ โดยในส่วนของการตรึงราคาก๊าซหุงต้ม หรือแอลพีจี คงต้องต่ออายุมาตรการที่จะครบกำหนดในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า แต่จะปรับวิธีการบริหารจัดการ โดยมีความเป็นไปได้ที่จะช่วยเหลือภาคครัวเรือนต่อไป แต่ให้ภาคอุตสาหกรรมซื้อแอลพีจีในราคาตลาด
ส่วนมาตรการค่าไฟฟรีและให้บริการรถไฟฟรี หากเห็นว่ามีความจำเป็น อาจเป็นบริการที่จัดงบประมาณที่แน่นอนเอาไว้ให้ แต่ในส่วนของรถเมล์ฟรีคงต้องทบทวนว่าเมื่อครบกำหนดต่ออายุในช่วงสิ้นปี 2553 จะทำอย่างไร เพราะจะกระทบกับแผนงานโครงการรถเมล์เอ็นจีวี
นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่า การต่ออายุมาตรการค่าครองชีพเพื่อช่วยเหลือประชาชน รัฐบาลจะระวัง 2 เรื่องคือ 1.ต้องไม่ไปฝืนตลาดจนเกิดปัญหา และ 2.ยืนยันว่าทุกนโยบายในการลดค่าใช้จ่ายหรือสร้างระบบสวัสดิการ จะมีการประเมินภาระงบประมาณตลอดและมองไปข้างหน้าด้วย ซึ่งจะมีการศึกษาอย่างละเอียด ไม่ดำเนินการจนการเงินการคลังมีปัญหา
ทั้งนี้รัฐบาลได้สั่งตรึงราคาแอลพีจีไว้ที่ระดับ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ไปถึงเดือน กุมภาพันธ์ ปีหน้า โดยปัจจุบันการใช้แอลพีจีแบ่งออกเป็น 4 ภาคหลักๆ ได้แก่ ครัวเรือน//ขนส่ง// อุตสาหกรรมและปิโตรเคมี
โดยขณะนี้ไทยน่าจะอุ่นใจขึ้น เพราะเดิมการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นต้องกู้เงินถึง 8 แสนล้านบาท แต่นี่กู้ไปเพียง 4 แสนล้านบาท หรือ เดิมคิดว่าจะต้องขาดดุลงบประมาณ 3 แสนล้านบาท
แต่ปัจจุบันสามารถเก็บรายได้เกินเป้ากว่า 2 แสนล้าน ทำให้การขาดดุลอาจไม่ถึง 1 แสนล้านบาท ดังนั้น หลายประเทศที่ยกคณะมาเยี่ยมก็อิจฉาประเทศไทยมาก หลังเห็นตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย หรือ จีดีพี ตัวเลขหนี้ต่อจีดีพี และตัวเลขการว่างงาน
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงปัญหาสินค้าราคาแพงว่า ขณะนี้สถานการณ์ได้คลี่คลายลงตามลำดับ ไม่ว่าจะเป็นราคาหมู ผัก หรือไข่ ฯลฯ อีกทั้งกระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศราคาสินค้า เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ประชาชนแล้ว แต่จะปรับให้คำนึงถึงราคาท้องถิ่นให้มากขึ้น ไม่ใช่กำหนดตามราคาของกรุงเทพฯ
ขอยืนยันว่ารัฐบาลจะเดินหน้าดูแลปัญหาราคาสินค้าอย่างเต็มที่ ซึ่งขณะนี้ก็เบาใจในระดับหนึ่ง แต่จะติดตามสถานการณ์ต่อไป และ ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์รวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้วเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจต่อไป